13 พ.ค. 2568 | 17:04 น.
KEY
POINTS
จอน อึ๊งภาภรณ์ คือ ลูกชายคนโตของ ‘ป๋วย อึ๊งภาภรณ์’ และยังเป็นผู้ก่อตั้ง iLaw และสำนักข่าวประชาไทที่กล้าคิด กล้าทำ และกล้าตั้งคำถาม
ถึงวันนี้เขาจะไม่อยู่แล้ว แต่ร่องรอยและผลงานของเขาในฐานะนักเคลื่อนไหวสังคมยังคงจะถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาตร์ไทยว่า ครั้งหนึ่งเราเคยมีนักเคลื่อนไหวที่ยังคงตั้งคำถามและต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย
ไม่ใช่ด้วยอาวุธ ไม่ใช่ด้วยอารมณ์ แต่ด้วยวิธีที่พ่อของเขาเคยใช้ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ความหวัง และความกล้าที่ถ่ายทอดผ่านสายเลือด
เพราะบทเรียนและแนวคิดที่ ‘ป๋วย อึ๊งภาภรณ์’ ทิ้งไว้ ไม่เพียงแต่เป็นบันทึกให้สังคมไทย แต่เป็นเศษส่วนที่หล่อหลอมให้ จอน อึ๊งภาภรณ์ เลือกตั้งคำถามต่อโลกใบนี้ เหมือนที่พ่อเขาเคยทำ
อย่างที่รู้ จอน อึ๊งภาภรณ์เป็นลูกชายของ ‘อาจารย์ป๋วย อึ๊งภาภรณ์’ เขาไม่ค่อยสนิทกับพ่อ และดูเหมือนว่า ‘แม่’ จะมีอิทธิพลในชีวิตของเขามากกว่า
แต่สิ่งที่เขาเน้นย้ำในหลาย ๆ บทสัมภาษณ์ ถึงพ่อ ก็คือ การมองเห็นความกล้าหาญและการพุ่งเข้าชนทุกปัญหาอย่างไม่เกรงกลัว
“เรื่องที่ได้จากพ่อมากที่สุดคือความกล้าหาญ โดยเฉพาะเรื่องที่เป็นที่ประจักษ์คือการเผชิญหน้ากับคนที่มีอำนาจในสังคมไทย คุณพ่อกล้าหาญและอดทนที่สุดเท่าที่รู้จัก ไม่เคยเห็นใครกล้าหาญและแดทนอย่างนี้ คนทั่วไป ถ้าพบปัญหามักจะหาทางหลีกเลี่ยง แต่คุณพ่อไม่เป็นอย่างนั้น”
แล้วทั้งหมดเริ่มจากวันที่เขาเลือกเรียนวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ แทนที่จะเรียนเศรษฐศาสตร์เหมือนกับพ่อ แต่ขณะเดียวกัน การมีพ่อเป็นนักวิชาการ นักคิดที่สร้างคุณูปการให้กับประเทศ แทนที่จะรู้สึกกดกัน แต่ความคิดของจอนนั้นตรงกันข้าม
“ผมเป็นกบฏ ถ้าให้เรียนเศรษฐศาสตร์ผมไม่มีวันเรียน การเป็นลูกป๋วยมีประโยชน์หลายอย่างโดยไม่รู้ตัว เช่น การยอมรับของคน การได้รับเลือกตั้ง เป็นสว. ถ้าดูเฉพาะงานของผมอย่างเดียวคงไม่ได้เป็นสว. ได้เสียงจากความศรัทธาที่คนมีต่อคุณพ่อด้วย
“พ่อไม่เคยพูดว่าอยากจะให้ลูกเป็นอะไร ไม่เคยเลย”
ถึงอย่างนั้น ด้วยความที่คุณแม่เป็นสตรีผู้สนใจการเมือง และมีคุณพ่อเป็นนักคิด บรรยากาศที่บ้านจึงเริ่มหล่อหลอมให้จอนสนใจการเมืองและสังคมไปอย่างไม่รู้ตัว
“ส่วนใหญ่อยู่ที่โต๊ะกินข้าวตอนเย็น คุณแม่จะเป็นคนชวนคุย เพราะคุณพ่อเวลาอยู่ที่บ้านจะไม่ค่อยพูด แม่จะเป็นคนแสดงความเห็นทางการเมือง บางทีแม่ก็เล่าว่าพ่อทำอะไรอยู่แล้วให้พ่ออธิบายเพิ่ม”
ถึงจะตอบได้ไม่ชัดว่า มรดกที่คุณพ่อทิ้งไว้ให้กับลูกชายคืออะไร แต่สิ่งหนึ่งที่เด่นชัด สิ่งที่สองพ่อลูกเหมือนกัน คือ ความเชื่อใน ‘รัฐสวัสดิการ’ ที่จะทำให้ประชาชนชาวไทยมีชีวิตที่ดีและ ‘พออยู่ได้’
ก่อนจะมานั่งตำแหน่งอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อาจารย์ป๋วยก็เคยดำรงตำแหน่งสำคัญในอดีตมากมาย ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และยังเคยเป็นสมาชิกเสรีไทยด้วย
ทว่าการเมืองที่กำลังร้อนระอุในช่วงที่เขานั่งตำแหน่งอธิการบดี ทำให้เขาต้องใช้แรงพยายามที่จะปกป้องนักศึกษาและมหาวิทยาลัยมากขึ้น แต่สุดท้าย เขาเลือกลี้ภัยไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ เริ่มต้นชีวิตใหม่กับครอบครัว
แล้วช่วงเวลานั้นก็ทำให้จอนและครอบครัวรู้จักและเข้าใจถึงความสำคัญของรัฐสวัสดิการมากขึ้น เพราะถึงแม้จะไม่ใช่พลเมืองอังกฤษ แต่อาจารย์ป๋วยก็ได้รับการดูแลอย่างดี รวมถึงไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแม้แต่ปอนด์เดียว
“ระบบรัฐสวัสดิการเป็นระบบโครงสร้างทางสังคมที่รัฐทำหน้าที่ดูแลกำกับให้ประชาชนทุกส่วนมีหลักประกันด้านคุณภาพชีวิตในระดับที่พออยู่พอกินอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งมักจะประกอบด้วยหลักประกันถ้วนหน้าด้านที่อยู่อาศัย สุขภาพ การศึกษา รายได้ และด้านบริการสังคมอื่นๆ ที่มีความจำเป็นสำหรับคุณภาพชีวิต เรียกได้ว่าเป็นระบบสวัสดิการที่ทุกคนมีสิทธิได้รับ จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน”
ถึงจะไม่ได้อ่านในวันที่พ่อเขียน แล้วเพิ่งมาอ่านประวัติและเรื่องราวของพ่อ แต่ดูเหมือนเรื่องราวจะคุ้นหู และเป็นเรื่องที่อยู่บนโต๊ะอาหารที่บ้านเสียมากกว่า
ดังนั้น ในบทสัมภาษณ์กับบีบีซีไทย จอน อึ๊งภาภรณ์จึงบอกว่า “ผมเชื่อว่าข้อเขียนคุณพ่อ เรื่องจากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน มันสะท้อนสิ่งที่เราคุยกันในครอบครัว เพราะฉะนั้น ผมเองกับน้อง ๆ ของผมก็มีความเชื่อมั่นในระบบรัฐสวัสดิการ”
ตลอดชีวิตของ ‘จอน อึ๊งภาภรณ์’ เขามีหมวกหลายใบ ทั้งผู้ก่อตั้งโครงการอาสาสมัครเพื่อสังคม มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ นั่งเก้าอี้สมาชิกวึฒืสภา และยังผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงสังคมด้วยการก่อตั้ง iLaw (สื่อสารรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย) และสำนักข่าวประชาไท
จอนให้เหตุผลกับ 101.World ว่า เหตุผลที่เขาเลือกปลุกปั้นประชาไทย เพราะอยากให้คนทำงานด้านสังคมมีสื่อที่ออกมาเล่าถึงปัญหาในพื้นที่และชีวิตที่ไม่ได้ถูกบอกเล่า
“สมัยนั้นผมคิดว่าการมีประชาไทเป็นเรื่องสำคัญ การเป็นกระบอกเสียงให้ประชาชนทั่วไปได้เป็นเรื่องสำคัญ แต่ระยะหลังความสำคัญของประชาไทอาจลดลงบ้าง เนื่องจากมีสื่อภาคประชาชนเกิดขึ้นมากมาย”
ส่วนเป้าหมายในการก่อตั้ง iLaw ก็คือ การส่งเสริมให้เกิดกฎหมายภาคประชาชน จุดเริ่มต้นในวันนั้น ถึงจะมีความท้าทายมากมาย แต่วันนี้ iLaw กลายเป็นองค์กรที่ร่วมผลักดันกฎหมายฉบับประชาชน และมีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์ทางการเมืองอยู่หลายครั้ง
“ไอเดียแรกของไอลอว์คือส่งเสริมให้เกิดกฎหมายภาคประชาชน โดยเปิดให้คนเสนอไอเดียกฎหมายแล้วประชาชนที่เข้ามาอ่านก็สามารถให้ความเห็นและปรับปรุงได้ ถ้ามีคนเห็นด้วยเพียงพอก็จะทำเรื่องล่ารายชื่อเพื่อเสนอเป็นกฎหมายประชาชน
“ไอลอว์น่าจะยากที่สุด เพราะสิ่งที่เราตั้งใจตอนแรกมันฝันเกินไป มันไม่เป็นจริง จะให้ประชาชนมาร่วมแสดงความเห็นในกฎหมายจนกลายเป็นกฎหมายจริงมันไม่เวิร์ก สิ่งที่เวิร์กคือสิ่งที่ไอลอว์ทำตอนหลัง คือมีธงชัดเจนว่าสู้เพื่อประชาธิปไตยแล้วหาวิธีสู้โดยใช้ความรู้ทางกฎหมาย”
และถ้าวันนี้ถามว่า เขาอินเรื่องไหนมากที่สุด คำตอบคงเป็นคำตอบเดิม คือ เรื่องประชาธิปไตย และทั้งหมดเกิดขึ้นจากรากฐานสำคัญ คือ ครอบครัวของเขา
ทุกคนต่างมีเส้นทางของตัวเอง แม้อาจมีวิธีการที่แตกต่าง แต่ทั้งจอนและอาจารย์ป๋วยมีร่วมกัน คือ การเฝ้าฝันที่ประเทศที่เขาเติบโตมาจะมีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
“ผมเชื่อว่าเปลี่ยนแน่ เพียงแต่จะใช้เวลานานเท่าไหร่ สู้อย่างไรจึงจะชนะ สู้อย่างไรจึงจะทำให้คนไปด้วยกัน การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแน่นอน 100 เปอร์เซ็นต์ แต่จะดำเนินไปอย่างไร ทำอย่างไรจะไม่เสียเลือดเนื้อ ทำอย่างไรจะหลีกเลี่ยงได้ ทำอย่างไรจะเร่งจังหวะได้ สิ่งเหล่านี้ต้องพยายามหาคำตอบร่วมกัน”
แม้จะใช้รูปแบบต่างกัน แต่จอน อึ๊งภาภรณ์ได้สร้างหน้าประวัติศาสตร์ของตัวเอง โดยใช้รากฐานความคิดสำคัญของ ป๋วย อึ๊งภาภรณ์ พ่อของเขา ลองคิด กล้าทำ และกล้าที่จะตั้งคำถามกับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะด้วยวิธีการแบบใดก็ตาม
อย่างที่จอนเองเคยกล่าวไว้ การที่เราวิพากษ์วิจารณ์และถกเถียงเกี่ยวกับแนวคิดของอาจารย์ป๋วย จะทำให้เรื่องราวของท่านมีชีวิต มีมิติ และก่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง
“ผมคิดว่าที่สำคัญ ต้องวิจารณ์คุณพ่อ เวลาอ่านข้อเขียน เวลาอ่านประวัติ ต้องวิจารณ์ ถ้าไม่วิจารณ์ ไม่เกิดการถกเถียง ดีเบต คุณพ่อผมก็กลายเป็นชีวิต 2 มิติ ไม่ใช่ 3 มิติ แล้วการเรียนรู้ก็จะไม่เกิดขึ้น”
อ้างอิง
กษิดิศ อนันทนาธร. (2559). อาจารย์ป๋วยในทัศนะของคนรู้จัก: ฟัง คิด ถาม เรื่องป๋วย – รวมบทสัมภาษณ์จากสารคดี “ป๋วย อึ๊งภากรณ์: จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน”. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย.
“จอน อึ๊งภากรณ์ พูดถึงพ่อ.” / จอน อึ๊งภากรณ์. ใน ช่วงหนึ่งของกาลเวลา ป๋วย อึ๊งภากรณ์, หน้า 71-84. โดยคณะอนุกรรมการหนังสือที่ระลึก คณะกรรมการจัดการ “นิทรรศการชีวิตและผลงานอาจารย์ป๋วย.” – - กรุงเทพฯ : สำนักบัณฑิตอาสาสมัคร องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะกรรมการนักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมูลนิธิโกมลคีมทอง, 2528. – - จัดพิมพ์เนื่องในโอกาสครบรอบอายุ 69 ปี ของดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์
ประสบการณ์ตรง ‘จอน อึ๊งภากรณ์’ รัฐสวัสดิการที่โอบอุ้ม ‘บิดา-มารดา’ / Hfocus
อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ คุณูปการทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ / สถาบันฟรีดี พนมยงค์
‘จอน อึ๊งภากรณ์’ ชีวิตบนหนทางการทลายกำแพงสู่ประชาธิปไตย / The101World
“อาจารย์จอน” พูดถึง “ดร.ป๋วย” คุณพ่อเป็นคนธรรมดา ที่วิจารณ์ได้ / สำนักข่าวอิศรา