26 พ.ค. 2568 | 10:47 น.
KEY
POINTS
ปลายเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๘ นี้จะมีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่หลายคนรอคอยรับชมคือเรื่อง ‘พระร่วง มหาศึกสุโขทัย’ นาน ๆ ทีจะมีภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์สุโขทัยมาให้ได้รับชมกัน ไม่รอรับชมได้อย่างไร ในเมื่อชมเรื่องอิงสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์กันมามากแล้ว จนหลายคนตั้งคำถามว่า แล้ว ‘ซุโข้ทัย’ ล่ะ เมื่อไหร่จะมีมาให้ได้ชมกันบ้าง
จากตัวอย่างที่ปล่อยออกมา ‘พระร่วง มหาศึกสุโขทัย’ เป็นเรื่องราวของ ๒ พ่อขุน ผู้ทำศึกขับไล่ ‘ขอมสบาดโขลญลำพง’ และสถาปนากรุงสุโขทัยขึ้นเป็นราชธานี อนึ่ง ประวัติศาสตร์สุโขทัยมีข้อจำกัดในการนำไปแปลงเป็นสื่อบันเทิงค่อนข้างมาก เพราะขาดแคลนหลักฐานที่จะช่วยตอบคำถามได้รอบด้านมากพอ แม้ว่าจารึกหลักที่ ๒ (จารึกวัดศรีชุม) อาจไม่มีปัญหาแบบที่จารึกหลักที่ ๑ (จารึกพ่อขุนรามคำแหง) มีอยู่ก็ตาม แต่ลำพังจารึกหลักดังกล่าวนี้ก็ไม่เพียงพอแต่อย่างใด เป็นไปไม่ได้ที่จะมีหลักฐานเพียงชิ้นหนึ่งชิ้นใดหรือเพียงไม่กี่ชิ้นในการทำความเข้าใจยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ไม่ว่ายุคใดได้ทั้งหมดทั้งมวล
เรื่องสุโขทัยส่วนใหญ่เราทราบจากหลักฐานชั้นรอง เป็นยุคที่หลักฐานชั้นต้นไม่ได้มีบทบาทต่อการกำหนดลักษณะความรับรู้เท่าไรเลย เมื่อเทียบกับยุคสมัยอื่น ๆ เรื่องหนึ่งก็คือความรับรู้ที่ว่า ‘พระร่วง’ เป็นพระราชสมัญญานามของกษัตริย์สมัยสุโขทัย ภาพยนตร์ ‘พระร่วง มหาศึกสุโขทัย’ ก็นำเสนอตามนี้ แต่มันเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ดังที่ผู้เขียนจะแสดงให้เห็นในบทความนี้
ถึงกระนั้น ผู้เขียนเห็นจะต้องหมายเหตุไว้ในที่นี้ด้วยว่า ไม่ได้กำลังจะชี้ชวนให้คิดเห็นไปว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างมาอย่าง “ไม่เนียน” เพราะที่จริงเรื่องอิงประวัติศาสตร์ใด ๆ ก็ตาม มันทำให้เนียนยาก ยิ่งเป็นยุคที่มีข้อจำกัดในเรื่องหลักฐานทางประวัติศาสตร์ด้วยแล้วยิ่งยาก
อย่างไรก็ตาม ด้วยการตระหนักถึงข้อจำกัดที่แสดงให้เห็นในที่นี้ ก็หวังใจว่าจะเป็นบันไดให้นำไปสู่การสร้างภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์สุโขทัยที่ทำได้ “เนียน” ยิ่งขึ้นในอนาคต การตระหนักถึงข้อจำกัดเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการพัฒนาในทุกวงการ แน่นอนในทุกการตระหนักที่ว่านี้ย่อมเป็นบันไดที่นำไปสู่ความสำเร็จอยู่ด้วยในตัว
หลักฐานประวัติศาสตร์ร่วมยุคอาณาจักรสุโขทัย (ปลายพศว.๑๘ ถึงปลายพศว.๒๐) โดยเฉพาะประเภทศิลาจารึก ไม่มีสักแห่งออกพระนามกษัตริย์สุโขทัยว่า ‘พระร่วง’ หลักฐานเกี่ยวกับ ‘พระร่วงเจ้ากรุงสุโขทัย’ เพิ่งมีเมื่อพศว.๒๒ หรือกล่าวเฉพาะกว่านั้นก็คือช่วงหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๑ พ.ศ.๒๑๑๒ เป็นช่วงเดียวกับที่ราชวงศ์สุโขทัยครองอยุธยาแทนราชวงศ์สุพรรณภูมิ ตามมาด้วยนโยบายเทครัวหัวเมืองฝ่ายเหนือในรัชสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา
หลักฐานเกี่ยวกับพระร่วงเดิมอยู่ในรูปของตำนาน แต่เป็นตำนานที่มีลักษณะพิเศษคือได้รับการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรด้วย ไม่ใช่เพียงเล่าสืบต่อกันแบบมุขปาฐะปากต่อปาก (Oral tradition) แน่นอนว่าไม่ใช่บันทึกที่มาจากเหตุการณ์เมื่อครั้งก่อนสมัยพ่อขุนผาเมืองกับพ่อขุนบางกางหาว ไม่แม้แต่จะเป็นเรื่องเล่าในสมัยสุโขทัยเลยด้วยซ้ำ
‘ธิดา สาระยา’ นิยามเรียกตำนานแบบนี้ว่า ‘ตำนานประวัติศาสตร์’ ขณะที่ ‘นิธิ เอียวศรีวงศ์’ เสนอเฉพาะขึ้นไปอีกว่าเป็นตำนานว่าด้วย ‘วีรบุรุษทางวัฒนธรรม’ (Cultural hero) ช่วงเวลาใดก็ตามที่มีการสร้างตำนานแบบนี้ก่อนอื่นต้องดูว่าชนชั้นนำเวลานั้นกำลังประสบปัญหาวิกฤติความชอบธรรมอย่างใดอยู่
หลักฐานแรกที่เก่าสุดเกี่ยวกับพระร่วง พบว่าคือ ‘พงศาวดารเหนือ’ ฉบับที่เรารู้จักกันดีนั้นเป็นฉบับของ ‘พระวิเชียรปรีชา’ (น้อย) ซึ่งได้รวบรวมขึ้นไว้เพื่อจะชำระในสมัยรัชกาลที่ ๑ แต่ยังไม่ได้ชำระ โครงการมีอันต้องพับไปเสียก่อน แต่นั่นไม่ได้ทำให้ ‘พงศาวดารเหนือ’ ฉบับนี้ด้อยคุณค่า เพราะเมื่อยังไม่ชำระทำให้ผู้อ่านยังสามารถแยกแยะและเข้าถึงต้นฉบับเดิมที่รวบรวมมานั้นได้ ต้นฉบับเดิมเป็นของมีมาแต่สมัยอยุธยา
หลักฐานอีกชิ้นคือ ‘คำให้การชาวกรุงเก่า’ เป็นคำให้การของเชลยชาวอยุธยาที่ถูกกวาดต้อนไปพม่าหลังเสียกรุงครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๓๑๐ จัดเป็นหลักฐานสมัยอยุธยาได้เช่นกัน เพราะผู้เล่าข้อมูลเป็นคนอยุธยา เคยใช้ชีวิตอยู่ในยุคอยุธยามาก่อน
หลักฐานร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย ยังมีตำนานของหัวเมืองสำคัญ เช่น ‘ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช’ ที่ระบุนามกษัตริย์สุโขทัยว่า ‘พระร่วง’ ในพาร์ทเกี่ยวกับ ‘ตำนานพระพุทธสิหิงค์’ หรือ ‘สิหิงคนิทาน’ ซึ่งก็เป็นตำนานร่วมของทางล้านนาด้วย
ต่อมาในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เรื่องพระร่วงเจ้ากรุงสุโขทัยก็ได้ถูกผนวกรวมเข้ากับพระราชพงศาวดารที่ชำระใหม่ฉบับหนึ่งชื่อ ‘จุลยุทธการวงศ์ ความเรียง (ตอนต้น)’ เป็นการผนวกตำนานเก่าเข้ามาสู่พระราชพงศาวดารครั้งสำคัญด้วย และเนื้อความบางส่วนของเอกสารนี้ยังไปมีอิทธิพลต่อ ‘พงศาวดารมอญพม่า’ ที่แต่งภายหลัง
เรื่อง ‘พระร่วงเจ้ากรุงสุโขทัย’ ยังถูกแปลงไปอยู่ในรูปวรรณคดีคือ ‘เรื่องนางนพมาศ หรือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์’ แต่งในสมัยรัชกาลที่ ๓ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ‘พระร่วง’ ยังไปปรากฏในเอกสาร ‘ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา’ (ฉบับแปลโดยพันตรีหลวงเรืองเดชอนันต์)
สรุปคือมีอยู่ ๘ ชิ้น คือ พงศาวดารเหนือ, ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช, ตำนานพระพุทธสิหิงค์, คำให้การชาวกรุงเก่า, จุลยุทธการวงศ์ ความเรียง (ตอนต้น), พงศาวดารมอญพม่า, เรื่องนางนพมาศหรือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์, ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ชิ้นที่เป็นหลักเป็นฐานจริง ๆ ที่ทำให้เกิดชิ้นอื่น ๆ ตามมา มีอยู่เพียง ๓ ชิ้น คือ พงศาวดารเหนือ, คำให้การชาวกรุงเก่า, จุลยุทธการวงศ์ ความเรียง (ตอนต้น) เท่านี้แลขอรับ
ย้ำอีกครั้งว่า ทั้งหมดไม่ใช่เอกสารบันทึกสมัยสุโขทัย เป็นบันทึกสมัยอยุธยาถึงต้นรัตนโกสินทร์ นั่นหมายความว่าก่อนหน้าที่สุโขทัยกับอยุธยา ยังเป็นคนละแว่นแคว้นอิสระ ไม่ขึ้นต่อกัน หรือยังไม่ได้รวมเป็นอาณาจักรเดียวกันอยู่นั้น ‘พระร่วง’ คือใครก็ไม่รู้สำหรับชาวสุโขทัย ยังไม่ได้ถูกสร้างให้เป็น ‘ไอดอล’ ของกษัตริย์วงศ์สุโขทัย
พระร่วงไม่ได้เป็นตำนานที่ปรากฏแค่ลายลักษณ์อักษร ยังเป็นตำนานที่ถูกแปลงไปเป็น ‘ตำนานอธิบายถิ่น’ เล่าเรื่องที่มาของชื่อบ้านนามเมือง หรือสถานที่แปลก ๆ ของแปลก ๆ อันเป็นแว่นแคว้นสุโขทัยเดิมอีกด้วย
ตัวอย่างเช่น โซกพระร่วง, คันดินถนนพระร่วง, พระร่วงรางปืน, บ่อพระร่วงสาป (ปัจจุบันคือบ่อน้ำร้อนพระร่วง อ.เมือง จ.กำแพงเพชร), ลานพระร่วง, ทำนบพระร่วง (เขื่อนสรีดภงส์), วัดพระร่วง (หนองหญ้าปล้อง อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย), พระร่วงโรจนฤทธิ์ (ปัจจุบันอยู่ที่วัดพระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม) เป็นต้น
เมื่อมีการค้นพบต้นฉบับเอกสารไตรภูมิ ซึ่งเชื่อกันว่าแต่งขึ้นสมัยพญาลิไท เมื่อนำต้นฉบับไปตีพิมพ์เป็นหนังสือ ก็ให้ชื่อว่า ‘ไตรภูมิพระร่วง’ แม้แต่เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จประพาสหัวเมืองสุโขทัย แล้วทรงมีพระราชนิพนธ์ก็ใช้ชื่อว่า ‘เที่ยวเมืองพระร่วง’
ประเด็นคือทั้งหมดเป็นชื่อใหม่ อิงตามความเข้าใจว่าพระร่วงเป็นเจ้ากรุงสุโขทัย เลยอธิบายทุกสิ่งอย่างเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระร่วงไปหมด และก็เข้าใจกันไปด้วยว่า ‘พระร่วง’ เป็นพระนามเรียกของกษัตริย์สุโขทัยทุกพระองค์
ที่ว่า “เทครัวหัวเมืองฝ่ายเหนือ” นั้นหมายถึงการอพยพผู้คนทิ้งบ้านเมืองในแถบลุ่มเจ้าพระยาตอนบนลงมายังอยุธยา ชดเชยกับกำลังคนที่สูญเสียไปในสงคราม ประกอบกับหัวเมืองฝ่ายเหนือเวลานั้นยังเผชิญโรคห่าระบาดหนัก (เรื่องนี้มีปรากฏใน ‘พระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์’ จึงออกจะเป็นเรื่องที่เชื่อถือได้อยู่)
วิธีการดั้งเดิมของการจัดการกับโรคห่าระบาดก็คือการอพยพหลบหนีไปจากพื้นที่ที่มีการระบาดนั้น ราชวงศ์สุโขทัยซึ่งได้ครองอยุธยา โดยที่ขาดแคลนทรัพยากรด้านกำลังคน อยู่ในสถานการณ์จำยอมต้องเลือกระหว่างสุโขทัยกับอยุธยา แล้วเขาก็เลือกอยุธยาทิ้งสุโขทัย ศรีสัชนาลัย และพิษณุโลก ให้ร้างไป
ในช่วงเวลาที่อยุธยาแบ่งเป็น ๒ กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มคนที่อยู่มาแต่เดิมก่อน ๒๑๑๒ กับกลุ่มหัวเมืองฝ่ายเหนือที่เทครัวลงมาอยู่ใหม่ ภายใต้สังกัดของวังหน้าสมเด็จพระนเรศวร ธรรมดาคนย้ายไปอยู่ที่ไหน ก็นำเอาเรื่องเล่าอดีตตามไปด้วย ในช่วงนี้เองได้เริ่มเกิดการเล่าตำนานเรื่อง ‘พระร่วงเจ้ากรุงสุโขทัย’ ขึ้น ทั้งนี้สืบเนื่องจากการได้ครองอยุธยาจากการสนับสนุนของพระเจ้าบุเรงนอง ทำให้เกิดปัญหาสิทธิธรรมแก่ราชวงศ์สุโขทัย
ซ้ำสุโขทัยยังเป็นแคว้นเล็ก ๆ อยู่ตอนใน ผิดกับอยุธยาซึ่งเป็นเมืองท่าการค้าทางทะเลติดต่อกับนานาชาติเป็นอันมาก ทำให้ราชวงศ์สุโขทัยถูกมองว่าขาดประสบการณ์และไม่มีความเหมาะสมที่ครองเมืองศูนย์กลางที่มีความสำคัญเช่นนั้น
ปัญหานี้ลำพังการแสดงพระองค์เป็น ‘ธรรมราชา’ ไม่เพียงพอ เพราะคนอยุธยาที่อยู่มาแต่เก่าก่อน ๒๑๑๒ นั้นมี ‘วีรบุรุษทางวัฒนธรรม’ (Cultural hero) อันเป็นที่มาของความชอบธรรมแก่ราชวงศ์ละโว้และสุพรรณภูมิ อาทิ ท้าวอู่ทองหรือพระเจ้าอู่ทอง, พระเจ้าปทุมสุริยวงศ์, พระเจ้าสินธพอมรินทร์หรือพระยาแกรก, พระยาโคตรบอง, พระเจ้าสายน้ำผึ้ง เป็นต้น
เมื่อเป็นเช่นนั้น ราชวงศ์สุโขทัยจึงแสวงหาความชอบธรรมใหม่จากการสร้าง ‘วีรบุรุษทางวัฒนธรรม’ ใหม่ขึ้นมา เพื่อแสดงให้เห็นความเป็นผู้มีบุญบารมีเหมาะสมคู่ควรที่จะได้ครองอยุธยา เพราะสืบสายมาจากวีรกษัตริย์ผู้มากบุญญาธิการไม่แพ้วีรบุรุษเดิมของยุคราชวงศ์ละโว้กับสุพรรณภูมิในอดีต ตำนานพระร่วงเกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ในการประชันขันแข่งตรงนี้โดยเฉพาะ
พูดให้เข้าใจง่าย ตามภาษาปัจจุบัน ก็ต้องบอกว่า ‘วีรบุรุษทางวัฒนธรรม’ ก็คือ ‘ไอดอล’ ที่คนรุ่นปัจจุบันมักนิยามเรียกผู้เป็นต้นแบบและเป็นที่ชื่นชอบคลั่งไคล้ไหลหลงกันนั่นเอง
จากหลักฐานหลักเช่น ‘พงศาวดารเหนือ’ กับ ‘คำให้การชาวกรุงเก่า’ จะเห็นได้ว่า อานุภาพของพระร่วงรวมเอาอานุภาพของวีรบุรุษท่านอื่นที่มีในอยุธยาก่อนหน้าไว้หมด ครบ จบที่เดียว ตัวอย่างก็เช่น:
ด้านการต่อต้านเขมรพระนครที่เคยปรากฏในตำนานของพระเจ้าอู่ทอง พระร่วงก็เคยเป็นคนส่งส่วยน้ำแก่เขมร ก่อนที่จะลุกขึ้นต่อสู้ปลดแอกสุโขทัยให้เป็นอิสระจากการปกครองของเขมร
ด้านอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ มีอาวุธวิเศษต่าง ๆ ซึ่งพระยาแกรก พระยาโคตรบอง เคยมีเคยเป็นให้แก่คนกรุงศรี พระร่วงก็มีไม่ใช่น้อยเหมือนกัน พระขรรค์ของพระองค์ฟันทุกสิ่งอย่างขาดได้หมด ไม่เว้นแม้แต่หินผา (ฟังดูคล้ายดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ของทางตะวันตกไม่ใช่น้อย)
ด้านการมีเครือข่ายกับมหาอำนาจอย่างจีน ซึ่งพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์กับพระเจ้าสายน้ำผึ้ง เคยได้ราชธิดาของพระเจ้ากรุงจีนมาเป็นพระมเหสี พระร่วงก็มีเหมือนกัน ในตำนานว่าเคยต่อเรือไปเมืองจีน แล้วได้กลับมาทั้งราชธิดา ข้าวของเงินทอง เครื่องบรรณาการ ถ้วยโถโอชาม เป็นต้น
หนำซ้ำพระร่วงยังมีคุณสมบัติพิเศษที่เหมาะกับอยุธยาซึ่งเป็นเมืองท่านานาชาติ ใน ‘พงศาวดารเหนือ’ ยังว่าทรงตรัสได้ทุกภาษาอีกด้วย เพราะเมื่อเป็นเมืองท่านานาชาติทำให้อยุธยาต้องติดต่อค้าขายกับชาวต่างประเทศมาก การรู้และตรัสภาษาต่างชาติได้ จึงเป็นคุณสมบัติที่แสดงให้เห็นความเหมาะสมกับที่จะเป็นผู้ปกครองอยุธยา
แต่ที่จัดว่า ‘พีคในพีค’ ขั้นสุด ก็คือพระร่วงยังมีสุดยอด ‘ไอเท็ม’ ที่องค์ในตำนานอื่น ๆ ก่อนหน้าไม่มี อย่าง ‘วาจาสิทธิ’ อีกด้วย ทั้งนี้การมีวาจาที่เด็ดขาดตรัสอย่างไรแล้วเป็นไปตามนั้น นับเป็น ‘โปรไฟล์’ ที่สำคัญเอกอุสำหรับการค้านานาชาติ ลองถ้าผู้นำเป็นคนสับปลับ พูดเรื่อยเจื้อย ไม่เป็นจริง ก็หมายถึงไม่ควรคบค้าด้วยนั่นเอง แต่หากเป็นตรงข้าม ก็หมายถึงเมืองที่ควรคบค้าสมาคมด้วยอย่างยิ่ง
แม้ว่าราชวงศ์สุโขทัยจะครองอยุธยาได้ไม่นาน ก็เกิดการผลัดเปลี่ยนราชวงศ์จากสุโททัยเป็นปราสาททอง และราชวงศ์ปราสาททองก็หันไปใช้พระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ เป็น ‘ไอดอล’ ใหม่ ดังปรากฏในหนังสือ ‘คู่มือทูตตอบ’ ของออกพระสุทธิสุนทร (โกษาปาน) เมื่อไปฝรั่งเศส ที่ติ๊ต่างว่า ถ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงถามถึงเชื้อวงศ์ของสมเด็จพระนารายณ์ โกษาปานจะต้องตอบว่า พระองค์สืบมาแต่พระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ เป็นต้น
แต่กระนั้น พระร่วงก็ไม่ได้หายไปไหน การมาปรากฏใน ‘คำให้การชาวกรุงเก่า’ ก็เป็นหลักฐานโดยอ้อมว่าคนอยุธยายังคงนิยมพระร่วงอยู่จนถึงเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๓๑๐ ทั้ง ๆ ที่พระร่วงกับพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ดูเป็นอริราชศัตรูต่อกัน ทั้งนี้อาจเพราะแม้ราชวงศ์สุโขทัยจะสิ้นอำนาจไปแล้ว แต่วีรกรรมของสมเด็จพระนเรศวร กลายเป็นวีรบุรุษในโลกที่เป็นจริง ไม่ใช่เพียงตำนานเรื่องเล่าแบบพระร่วง
ต่อมาความสำเร็จของราชวงศ์สุโขทัยในการสร้างบ้านแปงเมืองใหม่หลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๑ พ.ศ.๒๑๑๒ เป็นแบบอย่างให้แก่ชนชั้นนำกรุงเทพฯ ในการสถาปนาเมืองหลวงใหม่ที่อีกฝั่งของกรุงธนบุรี ‘ไอดอล’ ของราชวงศ์สุโขทัยจึงได้รับการรื้อฟื้นและประดิษฐ์ใหม่ทั้งในรูปพงศาวดาร (อย่างเรื่องจุลยุทธการวงศ์) และวรรณคดี (เรื่องนางนพมาศหรือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์) เป็นต้น
สิ่งที่พระร่วงสมัยต้นรัตนโกสินทร์มีเพิ่มเติมไปกว่าพระร่วงสมัยอยุธยา นอกจากมีพระสนมเอกเป็นหญิงงามทั้งกายและใจ เป็นต้นแบบกุลสตรีอย่างนางนพมาศแล้ว ยังเป็น ‘พ่อตา’ ของผู้นำมอญอย่างมะกะโทอีกด้วย ตรงนี้อาจเพราะมีความเชื่อว่าต้นราชวงศ์ผู้สถาปนากรุงเทพฯ สืบเชื้อสายมาจากมอญที่เข้ามาในสมัยสมเด็จพระนเรศวร
นอกจากความเกี่ยวดองกับมอญ พระร่วงยังเป็น ‘ไอดอล’ ไปอีก เพราะมีมเหสีเป็นราชธิดาของพระเจ้ากรุงจีน เรื่องหนึ่งซึ่งสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงถูกครหาว่าสติวิปลาส ก็คือการขอราชธิดาพระเจ้ากรุงจีน ซึ่งไม่สำเร็จ แต่พระร่วงผู้เป็น ‘ไอดอล’ ของราชวงศ์ใหม่สมัยต้นรัตนโกสินทร์นั้นทำสำเร็จไปนานแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น ราชวงศ์ใหม่จึงเข้าตำรา ‘ลูกจีน หลานมอญ’ มีความเหมาะสมคู่ควรแก่การเป็นผู้ปกครองเมืองท่านานาชาติซึ่งสืบทอดมาจากกรุงศรีอยุธยานั่นเอง
ถึงตรงนี้ก็เป็นอันสรุปได้แล้วว่า กษัตริย์สุโขทัยในรุ่นก่อนหน้า พศว.๒๒ อาจไม่ได้นับถือพระร่วงเป็นบรรพชนของตน หรือไม่บางทีท่านเหล่านั้นอาจไม่รู้จักพระร่วงด้วยซ้ำไป เพราะแม้แต่จารึกหลักที่ ๒ (จารึกวัดศรีชุม) ก็ไม่ได้เล่าถึงพระร่วงหรืออ้างความชอบธรรมจากพระร่วงแต่อย่างใด
กษัตริย์รุ่นแรกที่อ้างความชอบธรรมและสร้างพระร่วงให้เป็น ‘ไอดอล’ ของตน คือราชวงศ์สุโขทัย เมื่อได้ครองอยุธยาหลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๑ พ.ศ.๒๑๑๒ ซึ่งตามมาด้วยการใช้นโยบายเทครัวหัวเมืองฝ่ายเหนือ
‘พระร่วง’ คือไอดอลที่ถูกสร้างมาเพื่อความสมานฉันท์ระหว่างคนที่อยู่อยุธยามาแต่เดิมก่อน ๒๑๑๒ กับกลุ่มชาวหัวเมืองฝ่ายเหนือที่เข้ามาอยู่อยุธยาตามนโยบายเทครัวหัวเมืองฝ่ายเหนือ อีกทั้งยังเป็นไอดอลเพื่อสร้างความชอบธรรมแสดงความเหมาะสมคู่ควรในการมาครองอยุธยาของราชวงศ์สุโขทัยโดยตรงอีกด้วย
ต่อมา ‘พระร่วง’ ก็ถูกปรุงแต่งให้เป็นพระมหากษัตริย์ในอุดมคติของราชวงศ์ใหม่หลังสถาปนากรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงแทนที่กรุงธนบุรี เป็นที่มาของพงศาวดารฉบับชำระใหม่ชิ้นสำคัญอีกชิ้นหนึ่งคือเรื่อง ‘จุลยุทธการวงศ์ ความเรียง (ตอนต้น)’ และยังเกิดวรรณกรรมชิ้นสำคัญอย่าง ‘เรื่องนางนพมาศหรือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์’ อีก เป็นต้น
นอกจากนี้ ช่วงนั้นยังมีการขยายเครือข่ายของพระร่วง จากเดิมที่วนเวียนอยู่แต่ในบริเวณภาคกลางกับภาคเหนือตอนล่าง ออกไปสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน อย่างเช่น ไปเป็น ‘พ่อตา’ ของกษัตริย์ผู้สถาปนารัฐมอญอย่างมะกะโท้ใน ‘พงศาวดารมอญพม่า’ รวมถึงเรื่องวีรกรรมปราบขอม ก็ไปปรากฏใน ‘ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา’ แต่ทั้งสองเป็นเอกสารที่ได้รับอิทธิพลทางเนื้อหาจากตำนานไทยอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่หลักฐานที่เป็นอิสระและร่วมสมัยเดียวกัน
น่าสังเกตด้วยว่า บางมุมของพระร่วง ยังคงเป็นตำนานที่ไม่ได้ถูกนำมาปรุงแต่ง อย่างเช่นเรื่องใน ‘ตำนานพระพุทธสิหิงค์’ ที่เล่าว่ามีพระร่วงองค์หนึ่งไปชักชวนพระเจ้าศรีธรรมโศกราช กษัตริย์นครศรีธรรมราช ให้ยกทัพไปตีลังกา เพื่อชิงเอาพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่มีความเชื่อกันว่าสร้างได้เหมือนรูปพระพุทธเจ้าองค์จริง ถึงแม้ว่าหลักฐานของลังกาเองอย่าง ‘คัมภีร์มหาวงศ์ พงศาวดารลังกาทวีป’ จะมีเรื่องเล่าว่าเคยมีกองทัพยกมาจากนครศรีธรรมราชมารุกรานชาวเกาะศรีลังกา แต่กษัตริย์พระองค์นั้นนาม ‘พระเจ้าจันทรภาณุ’ ไม่มี ไม่เกี่ยวพระร่วงเจ้ากรุงสุโขทัย
การปริวรรตและแปลเอกสารต่างประเทศเมื่อครั้งต้นรัตนโกสินทร์ ผู้แปลมักนำเอาคำศัพท์ที่ผูกสร้างขึ้นตามตำนานในสยามเองไปเป็นคำต่างประเทศด้วย จึงมีการแปลให้กษัตริย์สุโขทัยมีพระนามว่า ‘พระร่วง’ ทั้งที่ในต้นฉบับจริง ๆ ไม่ได้ใช้พระนามแบบนั้น ทำให้ ‘พระร่วง’ ไปปรากฏในเอกสารหลักฐานของเพื่อนบ้านไปด้วย แค่นั้นไม่พอผู้แปลยังนำเอาเนื้อหาของตำนานในสยามไปแทรกปนอยู่กับเอกสารต่างประเทศ ในกรณีแบบนี้หลักฐานของเพื่อนบ้านจะใช้อ้างอิงเชื่อถือไม่ได้เต็มที่นัก
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ ‘พระร่วง’ จะมีปัญหาในเรื่องหลักฐานข้อมูลทางประวัติศาสตร์ดังที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ผู้เขียนก็ไม่ได้หมายความว่านั่นจะเป็นเรื่องที่ไม่ควรนำมาทำเป็นหนังเป็นละคร แต่หมายความว่าเราควรได้รับชมกันอย่างรู้เท่าทันด้วยว่า นั่นยังเป็นแค่หนังแค่ละคร สร้างตามความเชื่อเพื่อความบันเทิงเริงใจเท่านั้น ไม่ใช่ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์
อันที่จริงผู้เขียนออกจะเห็นใจทีมงานผู้สร้างหนังละครทำนองนี้ เพราะไม่ว่ายังไงก็ทำให้สมจริงได้ลำบากจนแทบเป็นไปไม่ได้ ความขาดแคลนหลักฐานที่เที่ยงตรงและหลากหลายมากพอเป็นปัญหาในทุกระดับสำหรับงานอิงประวัติศาสตร์ทุกประเภท ขอให้รับชมเพื่อเอาความบันเทิงล้วน ๆ ไม่ต้องเอาสาระหรือความจริงอย่างใดมายึดถือเป็นของจริงแท้แน่นอน จนไม่สามารถเปิดรับความจริงในมุมแบบอื่น ๆ ได้ นั่นแหล่ะดี
ส่วนที่มีดราม่าและตั้งท่าจะบอยคอตกันตั้งแต่หนังยังไม่ฉาย เรื่องการนำเอานักแสดงชาวเขมรมาร่วมแสดงด้วยนั้น ถือว่าทำดี-ทำถึง ไม่เห็นจะไม่เหมาะสมตรงไหน เราไม่ควรจะให้อคติทางชาตินิยมมาบดบังสติปัญญาและความสามารถในรับรู้ความจริงของตัวเราเองไปมากกว่าที่เป็นอยู่ จะดีกว่า เพราะไม่เป็นผลดีกับใครเลย แม้กระทั่งต่อตัวเราเอง...
เรื่อง: กำพล จำปาพันธ์
ภาพ: ภาพยนตร์ พระร่วง..มหาศึกสุโขทัย
อ้างอิง
“คัมภีร์มหาวงศ์ พงศาวดารลังกาทวีป” ใน วรรณกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ เล่ม ๑. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๓๔.
“จุลยุทธการวงศ์ ความเรียง (ตอนต้น)” ใน ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๑. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๔๒.
“พงศาวดารเหนือ” ใน ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๑. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๔๒.
“เรื่องพระร่วงสุโขทัย” ใน ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๑. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๔๒.
กำพล จำปาพันธ์ และโมโมทาโร่. Downtown Ayutthaya ต่างชาติต่างภาษา และโลกาภิวัตน์แรกในสยาม-อุษาคเนย์. กรุงเทพฯ: มติชน, 2566.
กำพล จำปาพันธ์. อยุธยา: จากสังคมเมืองท่านานาชาติสู่มรดกโลก. นนทบุรี: มิวเซียมเพรส, ๒๕๕๙.
คำให้การชาวกรุงเก่า. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๔๖.
จารึกสมัยสุโขทัย. กรุงเทพฯ: หอสมุดแห่งชาติ, ๒๕๒๘.
ตำนานพระพุทธสิหิงค์. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์เลี่ยงเซี่ยง, ๒๕๒๔.
ธิดา สาระยา. “ผู้นำทางวัฒนธรรมกับการสร้างบ้านแปลงเมือง” วารสารเมืองโบราณ. ปีที่ ๖, ฉบับที่ ๑ (ตุลาคม-พฤศจิกายน ๒๕๒๒).
นิธิ เอียวศรีวงศ์. “วีรบุรุษในวัฒนธรรมไทย” วารสารเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์. ปีที่ ๑๙ ฉบับที่ ๓-๔ (กันยายน-ธันวาคม ๒๕๔๔).
พงศาวดารมอญพม่า. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชวนพิมพ์, ๒๕๑๐.
พระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๔๙.
พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม). นนทบุรี: ศรีปัญญา, ๒๕๕๓.
รวมเรื่องเมืองนครศรีธรรมราช. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๐๕.
ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชาฉบับพันตรีหลวงเรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนรัชต์). กรุงเทพฯ: ไทยควอลิตี้บุ๊คส์, ๒๕๖๓.
ไรท, ไมเคิล. “ภูมิศาสตร์-ประวัติศาสตร์สยาม: เอกสารชั้นต้นสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ที่เปิดเผยใหม่” https://www.silpa-mag.com/history/article_7424 (เผยแพร่เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๓).