‘SIRENS’ กับการตีความตรรกะ “อะไรที่ไร้ประโยชน์ก็ต้องปล่อยไป”

‘SIRENS’ กับการตีความตรรกะ “อะไรที่ไร้ประโยชน์ก็ต้องปล่อยไป”

เมื่อความรักถูกวัดค่าด้วยประโยชน์ใช้สอย คนข้างกายจึงกลายเป็นของไร้ค่า ‘SIRENS’ ชำแหละความสัมพันธ์ที่โหดร้ายด้วยเหตุผลที่ดูเหมือนมีตรรกะรองรับ

KEY

POINTS

  • “อะไรที่ไร้ประโยชน์ก็ควรปล่อยไป” กับคำถามว่ามันคือการเติบโตหรือนิยามใหม่ของความเห็นแก่ตัว
  • งานไม่ใช่แค่หน้าที่ แต่มันคือความมั่นคงและตัวตนของคนบางคน
  • ไม่มีใครดีหรือร้ายตลอดเวลา คนที่เคยถูกมองว่า ‘ผิด’ อาจเคยเป็นคนที่มอบความรักอย่างแท้จริง

เหตุผลที่ทำให้เราตัดสินใจชม ‘SIRENS’ โดยไม่ลังเล ไม่ใช่เพราะซีรีส์เรื่องนี้กำลังขึ้นแท่นความนิยมสูงสุดบน Netflix หากแต่เป็นเพราะชื่อหนึ่งเดียวที่เปล่งประกายเพียงพอให้กดดูทันที ‘Julianne Moore’

และเธอก็ไม่ทำให้แฟนคลับผิดหวัง ด้วยการปรากฏตัวในบท ‘กีกี้’ ที่สะกดสายตาด้วยบุคลิกนางพญา เสื้อผ้าหน้าผมไร้ที่ติ พร้อมออร่าดุจนางฟ้านางสวรรค์ตลอดทั้งเรื่อง แต่สิ่งที่เหนือไปกว่านั้นคือการถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครหญิงผู้มีบุคลิกลึกลับและรายล้อมด้วยข่าวลือต่าง ๆ ได้อย่างน่าประทับใจ

(คำเตือน: มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของเรื่อง)

SIRENS เปิดเรื่องด้วยโทนเบาสบายในแบบคอมเมดี้ชวนหัว เนื้อหาเริ่มต้นคล้ายหนัง feel-good ที่มีพล็อตว่าพี่สาวตัวแสบ (เดวอน) พยายามไปลากน้องสาวตัวดี (ซิโมน) กลับบ้าน เพื่อให้ไปช่วยดูแลพ่อซึ่งป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม หลายคนอาจคาดว่าจะเป็นซีรีส์แนวพี่น้องทะเลาะกันแบบขำ ๆ แต่กลับผิดคาดโดยสิ้นเชิง เพียงไม่กี่ตอนหลังจากนั้น เรื่องราวได้พลิกผันจากความสนุกสนานไปสู่การสำรวจบาดแผลลึกภายในของแต่ละตัวละคร รอยยิ้มที่มีในตอนแรกกลายเป็นความสะเทือนใจจากบทสนทนาอันแหลมคม และบทสรุปที่หนักแน่นจนไม่อาจหัวเราะได้อีก

“อะไรที่ไร้ประโยชน์ก็ควรปล่อยไป?”

ประโยคนี้ปรากฏขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นเรื่อง เมื่อกีกี้กล่าวกับซิโมน หญิงสาววัย 25 ปีที่เคารพรักเธอราวกับไอดอล ในฐานะเจ้านายที่เปลี่ยนบทบาทสู่ภรรยาของมหาเศรษฐี ประโยคนี้ชวนให้ครุ่นคิด เพราะมันตั้งอยู่บนเส้นบาง ๆ ระหว่าง ‘การรักตัวเอง’ กับ ‘ความเห็นแก่ตัว’ ซึ่งกลายเป็นธีมสำคัญที่ดำเนินอยู่ตลอดทั้งเรื่อง


 

ในช่วงกลางของซีรีส์ขนาด 5 ตอน เราได้เห็นภาพสะท้อนที่เจ็บลึก เมื่อตัวละครซิโมน ‘ปล่อย’ พี่สาวที่เคยสละอนาคตมาดูแลเธอให้อยู่กับพ่อเพียงลำพัง ส่วนในช่วงท้ายของซีรีส์ ซิโมนก็ยัง ‘ปล่อย’ เจ้านายผู้เคยให้โอกาสในชีวิตให้เผชิญชะตากรรมโหดร้ายเพื่อเอาคืนที่ถูกไล่ออก

การกระทำของเธอทำให้เราได้ย้อนตั้งคำถามกับตัวเองว่า การ ‘ปล่อยไป’ นั้น เกิดจากการเติบโต หรือเป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้เพื่อไต่ขึ้นสู่จุดที่สูงกว่า?

“งานคือทั้งชีวิตของเธอ”

เมื่อซิโมนถูกกีกี้ไล่ออกจากงาน เพราะเข้าใจผิดว่าเธอกำลังมีสัมพันธ์กับสามีของตน ซิโมนถูกกีกี้ปฏิบัติอย่างเย็นชาเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ทั้งที่ครั้งหนึ่งกีกี้เคยไว้วางใจเธอถึงขั้นให้พิมพ์ข้อความสุดสยิวถึงสามี และทั้งคู่เคยสนิทสนมกันถึงขั้นเคี้ยวหมากฝรั่งต่อกันได้ การตกงานครั้งนั้นทำให้เดวอน พี่สาวที่ขัดแย้งกับซิโมนมาตลอด ต้องหลุดปากพูดถึงน้องสาวด้วยความสงสารว่า “งานคือทั้งชีวิตของเธอ”

ในโลกแห่งความเป็นจริง เราต่างรู้ดีว่ามีผู้คนจำนวนมากที่ยึดโยงคุณค่าของตนเองไว้กับงาน เพราะงานหมายถึงความมั่นคง ความภาคภูมิใจ หรือแม้กระทั่งเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ยังควบคุมได้ แต่ซีรีส์เรื่องนี้ชี้ให้เห็นอีกแง่มุมว่า หากชีวิตมีเพียงงาน ไม่มีความรัก ไม่มีผู้คนเคียงข้าง วันหนึ่งเมื่องานพัง ทุกสิ่งก็อาจถล่มลงตามไปไม่ต่างจากโดมิโน

ปมพี่น้อง ปมพ่อลูก ปมลูกน้องเจ้านาย ปมเพื่อนร่วมงาน

แล้วเหตุใดซิโมนจึงยึดมั่นกับงานราวกับเป็นทางรอดเดียวของชีวิต? คำตอบคือปมชีวิตที่เธอเผชิญนั้นลึกและหนักหนาเกินจะรับไหว 
 

อายุเพียง 7 ขวบ เธอเกือบต้องจบชีวิตไปพร้อมกับแม่ที่ป่วยซึมเศร้า แต่รอดมาได้เพราะพี่สาวเข้ามาช่วยไว้ทัน หลังจากนั้นเธอยังต้องอยู่ตามลำพังกับพ่อที่เป็นโรคสมองเสื่อม หลายครั้งที่เธอไปโรงเรียนโดยไม่ได้กินข้าว ไม่มีใครดูแล จึงไม่แปลกที่เธอจะรู้สึกว่า พี่สาวเลือกเอาตัวรอดด้วยการไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย

กระทั่งได้งานในคฤหาสถ์ของกีกี้ บนเกาะของคนร่ำรวยที่ใช้ชีวิตราวกับอยู่ในฝัน ซิโมนจึงมุ่งมั่นเต็มที่ ทำงานอย่างไม่ยอมพลาดแม้เพียงรายละเอียดเล็กน้อย แต่นั่นกลับทำให้เธอถูกเพื่อนร่วมงานหมั่นไส้ และเมื่อถึงเวลาวิกฤต ก็ไม่มีใครอยู่ข้างเธอ ทุกคนแทบจุดพลุฉลองด้วยความสะใจเมื่อรู้ว่าเธอถูกไล่ออก สิ่งนี้สะท้อนว่า “ไม่ว่าคุณจะเก่งเพียงใด หากไร้หัวใจ ก็ยากจะมีใครเคียงข้าง”

เมื่อไร้ซึ่งงานอันเป็นแก่นหลักของชีวิต เธอจึงทำสิ่งที่น่าตกใจ นั่นคือการตอบโต้กีกี้ด้วยการทำในสิ่งที่เคยถูกกล่าวหา

ทั้งหมดนี้เพื่ออะไร? เพื่อเอาคืน? หรือเพื่อแสวงหาตัวตนที่เคยสูญเสียไป?

“อย่าตัดสินคนที่เปลือกนอก ดูคนต้องดูยาว ๆ”

กีกี้ที่เดิมทีดูเหมือนจะเป็นผู้ดีจอมปลอม และมีข่าวลือว่าเคยผลักภรรยาเก่าของสามีตกหน้าผา กลับกลายเป็นตัวละครที่ผู้ชมเห็นใจที่สุดในตอนท้าย เธอถูกทรยศทั้งจากผู้ช่วยที่ไว้ใจ และสามีที่เคยคลั่งรักจนถึงขั้นทิ้งทุกอย่างเพื่อเธอ ความเจ็บปวดนี้ผลักให้เธอต้องหลบหนีจากเกาะอย่างเดียวดาย

ถึงตอนนี้ผู้ชมหลายคนอาจรู้สึกผิดกับกีกี้ เพราะแท้จริงแล้ว เธอคือหญิงธรรมดาที่เคยหลงทาง เคยผิดพลาด แต่เธอก็เคย ‘รัก’ และ ‘จริงใจ’ กับบางสิ่งอย่างแท้จริง เช่นการอนุรักษ์นกบนเกาะ หรือมอบความรักให้กับซิโมน

ตรงกันข้าม ซิโมน ที่ดูจะหัวอ่อน ขยัน และซื่อสัตย์ เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ต่าง ๆ เธอกลับเลือก ‘ปล่อย’ คุณสมบัติที่ดีงามในตนเองทิ้ง แล้วกลายร่างเป็นหญิงสาวเจ้าเล่ห์ที่ทำทุกอย่างเพื่อแก้แค้น และพาตัวเองไปสู่จุดสูงสุด 

อีกตัวละครคือสามีของกีกี้นามว่า ‘ปีเตอร์’ ก็เป็นอีกคนที่ตอนแรกดูอบอุ่น แต่สุดท้ายก็กลับกลายเป็นภาพสะท้อนของคนที่ทำผิดซ้ำไปซ้ำมา 

“คนทำผิดมีแนวโน้มทำผิดซ้ำ”

ปีเตอร์คือชายวัย 50 ผู้แต่งงานครั้งที่สามด้วยอารมณ์มักง่าย เขาเคยทิ้งภรรยาเก่าและลูกสองคน เพื่อมาร่วมชีวิตกับกีกี้ แล้วตอนจบก็ทิ้งกีกี้เพื่อไปเลือกซิโมน ด้วยเหตุผลเอาแต่ใจที่บอกกับกีกี้ว่า “ผมไม่มีความสุขแล้ว” ทั้งที่กีกี้ยอมทิ้งอาชีพนักกฎหมายอนาคตไกลมาใช้ชีวิตราวกับตุ๊กตาบาร์บี้ ถูกเอาเปรียบในแง่สัญญาก่อนสมรส ซ้ำร้ายคือตกเป็นขี้ปากของคนทั้งเกาะโดยไม่พยายามแก้ตัว 

เมื่อพิจารณาถึงจุดนี้ ซีรีส์ SIRENS จึงมิใช่เพียงซีรีส์ดราม่าทางอารมณ์ หากแต่เป็นการเปิดโปงบาดแผลลึกที่มนุษย์พกพาติดตัว การตีแผ่เบื้องหลังของรอยยิ้ม การตั้งคำถามต่อความรัก การงาน และความไว้วางใจ ทั้งหมดถูกร้อยเรียงอย่างแยบยลจนทำให้เรื่องราวคอมเมดี้ในตอนต้น กลายเป็นบทสำรวจจิตใจมนุษย์ที่ลึกซึ้งและน่าตกตะลึง

 

เรื่อง: พาฝัน ศรีเริงหล้า