14 พ.ค. 2568 | 20:00 น.
KEY
POINTS
ในวันที่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสได้หวนกลับคืนสู่อ้อมอกของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ศรัทธาต่างร่ำไห้ด้วยความเสียใจ บ้างก็หวนย้อนนึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำและสร้างความเปลี่ยนแปลงตลอดมา ไปจนถึงคำถามที่ว่าพระสันตะปาปาองค์ถัดไปจะดำเนินไปในทิศทางไหน จะหวนกลับสู่เส้นทางของอนุรักษ์นิยมหรือสานต่อความเปลี่ยนแปลงในแบบฉบับที่พระสันตะปาปาองค์ก่อนทรงปูทางมา
ภายหลังจากพิธีการประชุมลับเพื่อคัดเลือกพระคาร์ดินัลที่จะก้าวขึ้นสู่บทบาทพระสันตะปาปา จนปรากฎควันขาวเหนือโบสถ์น้อยซิสทีน (Sistine Chapel) ก่อนที่ ‘สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 14’ (Pope Leo XIV) จะก้าวออกมา ณ ระเบียงกลางของด้านหน้ามหาวิหารนักบุญเปโตร (St. Peter’s Basilica) ในกรุงวาติกัน
ก้าวต่อไปและแนวทางที่ประมุขจะนำพาพระศาสนจักรโรมันคาทอลิกไปย่อมเป็นที่น่าจับตามองว่าจะขยับไปทางไหน โดยเฉพาะท่ามกลางโลกที่รายล้อมไปด้วยความผันผวนเปลี่ยนแปลงไม่เว้นวัน ไปจนถึงปัญหาสังคม สิ่งแวดล้อม หรือควาสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ประกอบสร้างเป็นความท้าทายให้ประมุขของศาสนาที่มีผู้ศรัทธากว่า 1.4 ล้านคน
สุภาษิตหนึ่งในภาษาอิตาลีได้กล่าวเอาไว้ว่า “Dopo un papa grasso, viene un papa magro” หรือแปลเป็นไทยว่า “หลังจากพระสันตะปาปาอ้วน ก็จะมีพระสันตะปาปาผอม” สิ่งที่แฝงอยู่ในเรื่องอาจไม่ใช่แค่เรื่องของรอบเอวของพระสันตะปาปาเป็นหลัก แต่สะท้อนถึงจุดยืนและความเชื่อว่าทุก ๆ การเปลี่ยนผ่านของตำแหน่งพระสันตะปาปาจะเปรียบเสมือนกับ ‘จุดเปลี่ยนเว้า’ (Inflection Point) ทางอุดมการณ์ของศาสนจักร ที่บ้างก็นิยามว่าเหมือนกับ ‘การแกว่งของลูกตุ้ม’ (Pendulum Swing)
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะแกว่งไปด้านไหนก็มีทั้งประโยชน์และความเสี่ยงเฝ้ารออยู่ทั้งสิ้น
เมื่อพูดถึง ‘จุดยืน’ และ ‘ความเปลี่ยนแปลง’ ผู้เขียนหวนนึกถึงภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายในชื่อเดียวกันจากปี 2019 อย่าง ‘The Two Popes’ ภาพยนตร์ที่ตีแผ่ออกมาด้วยความเรียบง่าย มุ่งเน้นไปที่บทสนทนา ท่ามกลางความดุเดือดของกองทัพภาพยนตร์ในปีนั้น โดยที่ ‘แอนโธนี ฮอปส์กิน’ (Anthony Hopkins) รับบทเป็น ‘พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16’ (Pope Benedict XVI) และ ‘โจนาทาน ไพรซ์’ (Jonathan Pryce) รับบทเป็น ‘ฮอร์เฮ เบร์โกกลิโอ’ (Jorge Bergoglio) ชื่อของพระคาร์ดินัลที่ภายหลังเราจะรู้จักเขาในนาม ‘พระสันตะปาปาฟรังซิส’ (Pope Francis)
The Two Popes เล่าเรื่องราวของบทสนทนาระหว่างพระสันตะปาปาทั้งสอง — ในวันที่คนหนึ่งเป็นโป๊ป อีกคนหนึ่งเป็นพระคาร์ดินัล — ที่มีจุดยืนและแนวคิดแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ฝั่งหนึ่งก็ยืนหยัดชัดเจนที่จะปกปักรักษาประเพณีและหลักคำสอนที่สืบทอดกันมากว่าสองสหัสวรรษ ส่วนอีกฝั่งก็มองว่าศาสนากำลังยึดติดอยู่กับเส้นทางเดิมในวันที่โลกเรียกร้องความเปลี่ยนแปลง — หรือแม้แต่มองว่าเส้นทางเดิมก็แฝงไปด้วยความเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน
ในภาวะการณ์เช่นนี้ ผู้เขียนมองว่าเป็นเรื่องน่าสนใจยิ่งที่จะดำดิ่งลงไปสำรวจคำถามและแง่มุมของพระสันตะปาปาทั้งสององค์ใน The Two Popes พร้อมหยิบเอาทางแพร่งของการเปลี่ยนแปลงมาวิเคราะห์กันต่อว่าแต่ละเส้นทางแฝงเร้นไปด้วยผลพวงแบบใดบ้าง เพื่อเป็นหนึ่งในแง่มุมในการมองการก้าวเดินของพระสันตะปาปาเลโอที่ 14 ในโลกปัจจุบัน
The Hidden Dilemma ในสัปดาห์นี้ เราจะมองลึกไปถึงพระสันตะปาปากับจุดยืนของศาสนาบนทางแพร่งของความเปลี่ยนแปลง เพื่อชี้ให้เห็นว่าทุกทางเลือกล้วนมีผลลัพธ์ตามมาในแบบของตัวเอง พร้อมหาบทสรุปว่าศาสนาในฐานะสถาบันทางสังคมควรขยับไปแบบไหนบนโลกปัจจุบัน
หมายเหตุ : The Two Popes (2019) คือภาพยนตร์ที่สร้างมาจากนวนิยายที่มีพื้นฐานมาจากบริบทจริงในประวัติศาสตร์ระหว่างจุดยืนของพระสันตะปาปาทั้งสองพระองค์ ทว่าก็ไม่ได้มีการยืนยันว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นจริง เพียงแต่เป็นการนำเอาส่วนประกอบของเหตุการณ์มาสานต่อเป็นเหตุการณ์สมมุติเท่านั้น
“คริสตจักรที่สมรสกับจิตวิญญาณของยุคสมัย
จะกลายเป็นหม้ายในยุคถัดไป”
ถ้อยคำดังกล่าวมาจาก ‘วิลเลียม ราล์ฟ อินจ์’ (William Ralph Inge) นักบวชชาวอังกฤษและคณบดีแห่งมหาวิหารเซนต์พอลในลอนดอน ซึ่งกล่าวไว้ในปี ค.ศ. 1911 และเป็นประโยคที่โป๊ปเบเนดิกต์ที่ 16 หยิบยกขึ้นมากล่าวกับพระคาร์ดินัลเบร์โกกลิโอตอนที่ทั้งคู่กำลังถกเถียงกันในเรื่องของ ‘ศาสนา’ กับ ‘ความเปลี่ยนแปลง’
ก่อนหน้านั้นพระคาร์ดินัลเบร์โกกลิโอกล่าวว่าตัวเขาไม่ต้องการจะเป็น ‘พนักงานขาย’ ให้กับสินค้าที่ตัวเขาเองไม่สามารถสนับสนุนได้อีกต่อไป เพราะตัวเขามองว่าศาสนจักรกำลังขยับไปในทิศทางที่ไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกับโลกใบนี้อีกต่อไปแล้ว ปราศจากการเชื่อมต่อกับภาวะในปัจจุบัน
เบร์โกกลิโอมองว่าหลักการที่ศาสนจักรกำลังยึดถืออาจจะไม่สามารถประยุกต์ใช้กับโลกปัจจุบันได้อย่างสมบูรณ์อีกต่อไป ด้วยเหตุนั้น ศาสนาสมควรจะต้องขยับตามโลก ในขณะเดียวกันนั้น โป๊ปเบเนดิกต์ที่ 16 ก็มีแนวคิดที่ว่า ศาสนา ในฐานะสถาบันอันแข็งแกร่งที่ยืนหยัดมาได้กว่าสองพันปี ไม่สมควรที่จะขยับตามโลกที่ผันผวน เพราะอาจถูกทิ้งร้างเป็นหม้ายต่อความเปลี่ยนแปลง
หากมองในมุมหนึ่ง ในทางสังคมศาสตร์ก็สามารถนิยามจุดยืนนี้ว่าเป็น ‘สภาวะเส้นทางบังคับ’ (Path-Dependency) หรือขนบธรรมเนียมและกฎเกณฑ์ที่ถูกฝังลงรากลึกกลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นหนึ่งในสภาวะที่พบได้บ่อยเมื่อกล่าวถึงสถาบันต่าง ๆ ทั่วทั้งโลก
“เราใช้เวลาหลายปีมานี้ ในการลงโทษทางวินัยกับใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วยกับมุมมองของเรา เรื่องการหย่าร้าง เรื่องการคุมกำเนิด เรื่องการเป็นเกย์ ในขณะที่โลกของเรากำลังถูกทำลาย ในขณะที่ความเหลื่อมล้ำแพร่กระจายเหมือนเนื้อร้าย”
หากย้อนกลับไปในอดีต ประเด็นเหล่านี้ย่อมเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อมีสถาบันที่หล่อหลอมผู้คนผ่านจิตใจอย่างศาสนามาช่วย ‘สะกิด’ (Nudge) หรือแม้แต่ ‘บังคับ’ (Force) ให้ผู้คนประพฤติอยู่ในร่องในรอย ทว่าเมื่อปัญหาเหล่านั้นคลี่คลายลงและเข้าแทนที่ด้วยปัญหาใหม่ — เช่น ความเหลื่อมล้ำ สิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่ความขัดแย้ง — ศาสนาจะยังมีบทบาทอยู่หรือไม่?
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการขยับหาทางเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงอาจกระทบเสถียรภาพของสถาบันที่มีโครงสร้างที่ใหญ่ไพศาลและฝังรากลึก (ซึ่งเราจะกล่าวถึงประโยชน์และความเสี่ยงของการเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงในส่วนต่อไป) แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารากฐานสำคัญของศาสนาคือ ‘ผู้ศรัทธา’ และหากมองศาสนาผ่าน ‘ทฤษฎีความชอบธรรม’ (Legitimacy Theory) ที่กล่าวเอาไว้ว่าความชอบธรรม (ที่สามารถตีค่าเป็นพลังหรืออิทธิพล) ของสถาบันนั้น ๆ ย่อมมาจากการยอมรับของประชาชน
เบร์โกกลิโอกล่าวว่าศาสนจักรสร้างกำแพงล้อมตัวเองเพื่อความมั่นคงและแข็งกล้าของสถาบัน แต่หารู้ไม่ว่าภัยร้ายซุกซ่อนอยู่ในก้อนอิฐหลังกำแพง ผ่านกรณีที่มีบาทหลวงมีข่าวฉาวด้านการล่วงละเมิดทางเพศ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือการปิดข่าวและย้ายผู้ก่อเหตุนั้นไปที่อื่นเพียงเท่านั้น ก่อนที่จะพาเขาเหล่านั้นไปสารภาพเพื่อให้บาปที่ก่อถูกล้างออกไป แต่เบร์โกกลิโอก็ตั้งคำถามต่อว่าการสารภาพช่วยชะล้างจิตวิญญาณผู้ก่อ แต่ไม่ได้ช่วยอะไรกับบาดแผลของผู้ถูกกระทำเลยแม้แต่น้อย
มาจนถึงจุดนี้ก็จะโยงไปถึงประเด็นที่ว่า ถ้าศาสนายืนหยัดแข็งขันบน ‘เส้นทางเดิม’ เพราะหวังจะรักษาเสถียรภาพของความเป็นสถาบันหรือตัดสินใจผ่านกรอบของสภาวะเส้นทางบังคับ ไม่เพียงแค่ปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนไปจะส่งผลให้การจัดสรรทรัพยากรของสถาบันนั้น ๆ ไม่มีประสิทธิภาพเท่าอดีต (ไม่ตอบโจทย์กับสังคมหรือสร้างผลกระทบเชิงบวกเท่าบริบทก่อนหน้า) แต่ยังส่งผลถึงความชอบธรรมที่อาจลดหลั่นตามกันไป เพราะอาจมีผู้ศรัทธาบางกลุ่มมองว่าศาสนาล้าสมัยและไม่ตอบโจทย์พวกเขาอีกต่อไป ซึ่งก็จะส่งผลถึงเสถียรภาพของตัวสถาบันเองในมิติของเครือข่ายอิทธิพลในภายหลังอยู่ดี
“ชีวิตที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้ก็ล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่มีสิ่งใดคงอยู่กับที่เป็นนิรันดร์ ไม่ว่าจะธรรมชาติ จักรวาล หรือแม้แต่พระผู้เป็นเจ้าเอง”
“พระผู้เป็นเจ้าไม่เปลี่ยน”
“เปลี่ยนสิ พระองค์ทรงขยับเข้าหาเรา”
“แล้วเราจะหาพระผู้เป็นเจ้าพบได้อย่างไร หากพระองค์ทรงขยับไปมาตลอดเวลา?”
“ในการเดินทางไหม?”
อีกประเด็นที่น่าสนใจจากคำกล่าวของเบร์โกกลิโอคือหลายสิ่งหลายอย่างที่เรายึดมั่นแข็งขันในยุคปัจจุบัน บางสิ่งก็อาจจะไม่ได้มีอยู่ตั้งแต่ต้น เช่นเรื่องของการถือครองโสดของบาทหลวงหรือแม้แต่นานาเทพธิดาที่ในอดีตไม่มีปรากฎ แต่ ณ จุดหนึ่งของประวัติศาสตร์ก็กลับอุบัติขึ้นจนกลายเป็นภาพชินตาในปัจจุบัน
การสนทนาของทั้งคู่สะท้อนให้เห็นถึงการเชือดเฉือนกันไปมาระหว่างสองแนวคิดและจุดยืนที่ต่างก็มีแนวคิดและกระบวนทัศน์ในแบบของตน แต่สิ่งที่สะท้อนให้เห็นอย่างแจ่มชัดคือการที่ศาสนาหรือสถาบันใด ๆ สามารถที่จะคงอยู่ต่อไปได้ การเปลี่ยนแปลงตามบริบทของโลกนับเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง เพื่อที่เป็นการพิสูจน์กับตัวเองว่าสถาบันดังกล่าวไม่ได้เสื่อมสภาพต่อกาลเวลาและยังคงเป็นตัวแปรที่มีความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาในปัจจุบัน
แต่ก็ใช่ว่าแนวทาง ‘การเป็นหัวก้าวหน้า’ (Progressive) ที่พร้อมจะขยับตามโลกที่หมุนไปแบบสุดลิ่มทิ่มประตูจะเป็นผลดีต่อสถาบันที่แบกรับศรัทธามหาศาลเอาไว้บนบ่า เพราะจากมุมมองของผู้เขียน ทั้งเทรนด์หรือความเป็นไปในโลกปัจจุบันก็แทบจะไม่ต่างอะไรกับนวัตกรรม ที่เป็นการลองผิด ลองถูก หลายสิ่งที่เคยฮิตและเป็นที่นิยมก็สามารถเสื่อมความนิยมหรือถูกขับไสไล่ส่งได้ภายในเวลาไม่กี่ปี เดือน หรือแม้แต่วัน
ด้วยเหตุนั้น การจะขยับตัวตามความเปลี่ยนแปลงของโลกอาจจะต้องผ่านการพินิจพิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนและมั่นใจแล้ว เพราะดังที่เรากล่าวไปก่อนหน้าว่าความเปลี่ยนแปลงย่อมเผชิญหน้ากับความเสี่ยงต่อเสถียรภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งจากภายในและภายนอก
แม้ว่าใน The Two Popes บุคคลเดียวที่เบร์โกกลิโอต้องเถียงด้วยคือพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 แต่ในโลกแห่งความจริงนั้น สิ่งที่เขาอาจจะต้องเผชิญหน้า ก็ย่อมหนีไม่พ้นเหล่าบรรดา ‘The Old Guard’ หรือพระคาร์ดินัลที่มีความเชื่อแบบอนุรักษ์นิยมและยึดประเพณีที่ถูกส่งต่อกันมาเป็นสำคัญ
เมื่อเป็นเช่นนั้น เราอาจมองได้ว่าการเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงก็อาจมาพร้อมกับต้นทุนด้านความเสี่ยงและการแบ่งแยกในสถาบันภายใน ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาที่จะกระทบโครงสร้างของสถาบันอย่างปฏิเสธไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงจึงต้องขยับในย่างก้าวที่พอเหมาะ
ยกตัวอย่างในกรณีของเบร์โกกลิโอในวันที่เขาเป็นพระสันตะปาปาฟรังซิสแล้ว ตัวเขาเองก็ได้ขยายขอบเขตด้านการให้พื้นที่ตำแหน่งหน้าที่ในวาติกันและศาสนจักรกับผู้หญิงมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน พระสันตะปาปาก็ยังไม่ได้เดินหน้าต่อในประเด็นของการให้ผู้หญิงรับหน้าที่เป็นสังฆานุกร (Deacon) อาจจะเป็นวิธีการ ‘ค่อย ๆ ขยับ’ ในแบบฉบับของพระสันตะปาปาฟรังซิส
หากเป็นกรณีที่เปลี่ยนมากเกินไป ศาสนจักรในประเทศอังกฤษตัดสินใจอนุญาตให้มีการอวยพรคู่รักเพศเดียวกัน กลุ่มบิชอปและนักบวชบางส่วนก็ออกมาเตือนว่าจะจัดตั้ง ‘มณฑลคู่ขนาน’ ขึ้นมาเอง ซึ่งเปรียบเสมือนการแบ่งแยกตัวเองออกจากสถาบันหลัก สะท้อนถึงความแตกแยกที่ตามมาก
นอกจากเผชิญหน้ากับความเสี่ยงจากภายในแล้ว ศาสนจักรเองก็ยังต้องแบกรับความเสี่ยงจากผู้ศรัทธาอีกเป็นจำนวนมากในทำนองเดียวกันนี้ เพราะหากมีการขยับในก้าวที่กว้างจนเกินไป ก็อาจส่งผลให้ผู้ศรัทธามองว่าศาสนจักรได้เปลี่ยนแปลงไปจากคำสอนเดิมที่ตัวเขาเคยยึดมั่นเชื่อถือแล้ว ซึ่งก็จะย้อนกับไปในเรื่องของทฤษฎีความชอบธรรมที่เรากล่าวถึงไปก่อนหน้า
จากเรื่องราวทั้งหมด ณ ทางแพร่งของการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะขยับไปทางซ้ายหรือขวา ก็มีทั้งผลกระทบเชิงบวก ความเสี่ยง และต้นทุนเฝ้ารออยู่ทั้งสิ้น รวมไปถึงเสถียรภาพและความแข็งแกร่งก็สามารถถูกกระทบได้ไม่ต่างกัน ด้วยเหตุนั้น การเลือกทางเดินอย่างประณีตจึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่พระสันตะปาปาและศาสนจักรต้องพินิจพิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน เพราะศาสนจักรโรมันคาทอลิกถือว่าเป็นสถาบันที่มีผลกระทบแผ่กระจายไปในหลายนพื้นที่ทั่วทั้งโลก การขยับ แม้นิดเดียว ก็อาจส่งผลที่ยิ่งใหญ่ได้
คงเป็นความท้าทายของทุกสถาบันที่ต้องหาจุดสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการก้าวหน้า เพื่อให้สถาบันนั้น ๆ สามารถยืนหยัดอยู่ในสังคมและความเชื่อบนโลกที่ขยับไปข้างหน้าในทุก ๆ วินาทีที่ผ่านไป
อ้างอิง
Acemoglu, D. (2003). Root causes: A historical approach to assessing the role of institutions in economic development. Finance & Development, 40(2), 27–30.
Hubbard, A. (2016). Built on a rock: A study in the longevity and adaptability of organizational structure within the Catholic Church. SPNHA Review, 12(1), Article 5.
Muvija, M. (2024, June 27). Church of England faces threat of split over stance on gay couples. Reuters.
Buckley, E. (2010). An analysis of the institution of the Catholic Church from the perspective of new institutional economics and as a “carrier of history” in the handling and reporting of child sexual abuse, given its role as a social institution within wider Irish society (CLPE Research Paper No. 31/2010). Osgoode Hall Law School, York University.
Faggioli, M. (2014, June 5). The Italian job: Can Pope Francis manage his local opposition? Commonweal Magazine.
McElwee, J. (2025, April 22). Pope Francis gave women Vatican roles, but held back on wider changes. Reuters.