‘Schumpeter’ กับ สงคราม ‘แท็กซี่ - แพลตฟอร์ม’ ไฉนนวัตกรรมถึงถูกมองเป็นความอยุติธรรม?

‘Schumpeter’ กับ สงคราม ‘แท็กซี่ - แพลตฟอร์ม’ ไฉนนวัตกรรมถึงถูกมองเป็นความอยุติธรรม?

ในวันที่นวัตกรรมถูกมองเป็นความอยุติธรรม The Hidden Dilemma ชวนส่องรอยร้าวระหว่าง ‘แท็กซี่ - แพลตฟอร์ม’ ผ่านกรอบของ Schumpeter และ The Technology Trap

“กระบวนการกลายพันธุ์ทางอุตสาหกรรม ปฏิวัติโครงสร้างเศรษฐกิจจากภายในอย่างไม่หยุดยั้ง ทำลายสิ่งเก่าอย่างต่อเนื่อง และสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาอย่างไม่รู้จบ”

— โจเซฟ ชุมปีเตอร์ ว่าด้วย การทำลายล้างอย่างสร้างสรรค์ (Creative Destruction)

ไม่ใช่ครั้งแรก ที่กลุ่มผู้ขับ ‘แท็กซี่’ หรือ ‘มอเตอร์ไซค์รับจ้าง’ รวมตัวกันเพื่อวิพากษ์วิจารณ์ เรียกร้อง ประท้วง ขัดขวาง หรือแม้แต่รุมทำร้ายผู้ที่ให้บริการผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ในลักษณะเดียวกัน พวกเขามองว่าการมาถึงของแพลตฟอร์มเหล่านี้คือ ‘ความอยุติธรรม’ ที่คืบคลานมาในคราบของเทคโนโลยี

พวกเขาเดินหน้าเรียกร้องกับรัฐบาลตลอดหลายปีที่ผ่านมาด้วยความหวังที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงและความยุติธรรมปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นการขอให้รัฐบาลปรับปรุงกฎหมาย-ระเบียบ หรือแม้แต่ยกเลิกข้ออนุญาตเหล่านี้ เพื่อทวงคืนความเป็นธรรมและความเท่าเทียมในการแข่งขันของการให้บริการรถสาธารณะ

ย่อมเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่จะเปล่งเสียงจากมุมมองของตนโดยที่ไม่กระทบสิทธิของผู้อื่นในสังคม แต่ในฐานะประชาชนและผู้ใช้บริการ ก็เป็นเรื่องน่าสนใจที่จะลองส่องผ่านรอยร้าวของความขัดแย้งนี้เข้าไป เพื่อพลิกดูตรรกะและหลักเหตุผลที่ก่อร่างกลายเป็น ‘ความอยุติธรรม’ ที่บันดาลให้เหล่าคนขับแท็กซี่เดินหน้าทวงถามถึงความเปลี่ยนแปลง

ในสัปดาห์นี้ สืบเนื่องจากเหตุการณ์เครือข่ายแท็กซี่ชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการใช้ Grab ในสุวรรณภูมิ และขู่ที่จะปิดสนามบินหากไม่มีการดำเนินการใดต่อ ที่นับเป็นหนึ่งในความขัดแย้งระหว่างการใช้บริการแท็กซี่แบบดั้งเดิมและแบบออนไลน์ที่ดำเนินมาหลายปี The Hidden Dilemma จึงอยากพาไปสำรวจคำถามว่า ไฉน ‘นวัตกรรม’ ที่สมควรจะเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตของทุกคนง่ายขึ้น กลับกลายเป็น ‘ความอยุติธรรม’ ที่เร้นอยู่ภายใต้ฉากหน้าของความก้าวหน้า? หรือมันเป็นเพียงฉากหน้าของความหวงแหนสถานะที่ครองประโยชน์ของคนบางกลุ่มกันแน่?

 

เมื่อกล่าวถึงการให้บริการแท็กซี่ในไทยนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าใครหลายคน โดยเฉพาะผู้ใช้บริการหลายคน ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ย่อมนึกถึงกรณีอย่างการปฏิเสธผู้โดยสาร หรือแม้แต่การโก่งราคาชาวต่างชาติจนใครหลายคนก็มีภาพจำที่ไม่ดีมากนักต่อเหล่าผู้ให้บริการแท็กซี่

บนทางเลือกที่เป็นอยู่นั้น สิ่งที่ผู้ให้บริการแท็กซี่ทำเปรียบเสมือนกับการตัดสินใจกระทำสิ่งต่าง ๆ ตามสิ่งที่ตนเองต้องการโดยไม่ยึดอยู่กับผลประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นหลัก และถ้าหากผู้โดยสารเหล่านั้นต้องการที่จะใช้บริการแท็กซี่ ผู้โดยสารก็แทบจะไร้ทางเลือก (หากไม่กล่าวถึงทางเลือกอื่นอย่าง รถเมล์ รถไฟฟ้า หรือวินมอเตอร์ไซค์)

จนกระทั่งการมาถึงของแพลตฟอร์มเรียกใช้บริการรถออนไลน์แบบต่าง ๆ ที่เราคุ้นชื่อคุ้นหูกันอย่างชัดเจนอย่าง ‘Grab’ หรือหากเป็นในประเทศอื่น ๆ ก็อาจจะเป็น ‘Uber’ ที่เป็นบรรดาเทคโนโลยีที่ไม่เพียงเข้ามาเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็น ความสะดวกในการเรียกใช้ การประเมินราคา โปรโมชั่นและส่วนลด หรือแม้แต่กลไกการควบคุมคุณภาพ

หมายความว่าการเข้ามาของแพลตฟอร์มออนไลน์นี้ ไม่เพียงเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งาน แต่ยังเป็นกลไกที่ช่วยยกระดับคุณภาพบริการของผู้ให้บริการในระบบอีกด้วย หมายความว่าผู้ใช้บริการจะมีตัวเลือกมากขึ้นกว่าเดิมในสมัยก่อนในแง่ของการให้บริการ อีกทั้งยังมีกลไกที่ทำให้ผู้บริโภคได้มีการฟีดแบคการบริการ หรือแม้แต่บทลงโทษเมื่อผู้ให้บริการประพฤติผิดหลัก อีกทั้งยังช่วยป้องกันการเอาเปรียบที่อาจเกิดขึ้น

ในมิตินี้เมื่อมองในภาพรวมเราจะเห็นได้ว่าการเข้ามาของแพลตฟอร์มออนไลน์ในตลาดการให้บริการแท็กซี่ ทำให้ระดับการแข่งขัน (Competitiveness) ขยับตัวสูงขึ้น เพราะผู้บริโภคมีตัวเลือกมากกว่าก่อน ว่าจะเลือกใช้บริการแบบดั้งเดิมหรือแบบออนไลน์ ที่มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป และเมื่อระดับการแข่งขันมีความเข้มข้นขึ้น แน่นอนว่าผู้บริโภคย่อมสบายขึ้น เพราะผู้ให้บริการแต่ละคนย่อมพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะแข่งขันและเสนอทางเลือกที่ดีที่สุดมาให้

 

ทว่ากลุ่มผู้ให้บริการแท็กซี่แบบดั้งเดิมมองว่าการเข้ามาของแพลตฟอร์มออนไลน์เหล่านี้ ‘ไม่ยุติธรรม’ เสียอย่างนั้น…

 

เพื่อที่จะเข้าใจภาพรวมจากทุกฝ่ายอย่างชัดเจนมากขึ้น ก็เป็นเรื่องสำคัญที่น่าลงลึกไปสำรวจนิยามของคำว่า ‘ไม่ยุติธรรม’ จากมุมมองของผู้ให้บริการดั้งเดิมว่า การเข้ามาของเทคโนโลยีนั้นเข้ามาสร้างผลกระทบ (Disruption) ต่อความเป็นอยู่ของพวกเขาอย่างไร และมันไม่ยุติธรรมหรือไม่?

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการมาถึงของเทคโนโลยีดังที่เรากล่าวไปก่อนหน้าคือระดับการแข่งขันภายในตลาดที่เพิ่มขึ้นจากผู้เล่นที่เพิ่มจำนวนขึ้น ในมุมนี้ทำให้นึกถึงคอนเซปต์อย่าง ‘การทำลายล้างอย่างสร้างสรรค์’ (Creative Destruction) จาก ‘โจเซฟ ชุมปีเตอร์’ (Joseph Schumpeter) นักเศรษฐศาสตร์ชาวออสเตรียที่ได้นำเสนอแนวคิดนี้ที่ว่าด้วยการนวัตกรรมใหม่ที่จะเข้ามาทำลายล้างสิ่งเดิมที่มีอยู่

อย่างไรก็ตาม การเข้ามาของแพลตฟอร์มออนไลน์แม้จะเข้ามาแต่ก็ใช่ว่าเข้ามาทำลายล้าง ‘การมีอยู่’ (Existence) ของอาชีพนี้ แต่เข้ามาเพิ่มระดับการแข่งขัน หรือพูดอีกอย่างคือการเข้ามาเพื่อกระตุ้นให้ผู้ให้บริการดั้งเดิมตื่นตัวต่อคุณภาพการให้บริการมากขึ้น เพราะหากยังคงอยู่ในสถานะเดิม ก็อาจจะเสี่ยงต่อการสูญเสียผู้บริโภคได้ 

ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการตั้งคำถามว่าการเข้ามาของแพลตฟอร์มออนไลน์สร้างความอยุติธรรมกับผู้ให้บริการดั้งเดิม หรือเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้กระทบสถานะที่ผู้ให้บริการ ‘ได้ประโยชน์’ จากกติกาดังกล่าว หรืออีกนัยหนึ่ง การเข้ามาของเทคโนโลยีกระทบต่อกฎกติกา (Rules of the Game) หรือปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อให้แท็กซี่แบบดั้งเดิมได้ประโยชน์ โดยการเลือกที่จะกระทำตามใจ (อาทิเช่น การปฏิเสธลูกค้า) โดยไม่มีผลกระทบตามมา 

แต่ในปัจจุบัน เมื่อแท็กซี่แบบดั้งเดิมยังคงเลือกที่จะปฏิเสธลูกค้าหรือโก่งราคา ก็อาจสูญเสียผู้บริโภคไป ซึ่งในอีกนัยหนึ่งก็คือการสูญเสียสถานะที่ตนเองได้ประโยชน์

 

จึงเป็นเรื่องที่น่าตั้งคำถามว่าความอยุติธรรมนั้นไม่ยุติธรรมในแง่ ‘กระทบต่อการมีอยู่’ หรือ ‘กระทบต่อสถานะที่ตนเองได้ประโยชน์’?

 

นอกจากกรอบการมองผลกระทบของนวัตกรรมในแบบของชุมปีเตอร์แล้ว เราก็อาจมองสถานการณ์นี้ในแง่ของภัยจากเทคโนโลยีด้วย ไม่นานมานี้ผู้เขียนได้อ่าน ‘The Technology Trap’ จาก ‘คาร์ล เบเนดิกต์ เฟรย์’ (Carl Benedikt Frey) ที่ได้กล่าวถึงผลกระทบของการมาถึงของเทคโนโลยีได้อย่างน่าสนใจ และสามารถนำมาคิดต่อได้ในกรณีนี้

โดยที่เขาได้ยกตัวอย่างงานของ ‘ดารอน อะเซโมกลู’ (Daron Acemoglu) และ ‘ปาสกวาล เรสเตรโป’ (Pascual Restrepo) ที่ได้นำเสนอว่าการเข้ามาของเทคโนโลยีที่จะมีผลต่อแรงงานดั้งเดิมนั้นมีอยู่สองประเภทระหว่าง เทคโนโลยีที่จะเข้ามาสนับสนุนความสามารถของผู้ทำงาน และ เทคโนโลยีที่จะเข้ามาแทนที่อย่างสมบูรณ์

ในกรณีของแพลตฟอร์มออนไลน์นั้นเราจะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีนี้ไม่ได้เข้ามาเพื่อ ‘แทนที่’ เพราะพวกเขาก็ยังคงต้องการคนขับอยู่เช่นเดิม เพียงแต่แพลตฟอร์มนี้จะเข้ามาและทำให้เขาไม่สามารถให้บริการแบบ ‘ตามใจ’ ได้อย่างสมบูรณ์เช่นเดิม เพราะหากมีการปฏิเสธผู้โดยสารหรือโก่งราคา ก็อาจนำมาซึ่งบทลงโทษได้ ซึ่งเป็นกฎกติกาที่ทำให้ผู้บริโภคได้รับบริการที่ดีกว่าเก่า และทำให้ผู้ให้บริการต้องตื่นตัวในแง่ของคุณภาพการให้บริการมากกว่าเดิม

อย่างไรก็ตาม นอกจากที่เทคโนโลยีที่ว่าส่งผลให้ผู้บริโภคจะได้รับบริการที่มีคุณภาพมากขึ้น แต่ผู้ให้บริการเองก็อาจเสียผลประโยชน์บางอย่างไปด้วย (ซึ่งไม่ใช่ผลประโยชน์ในเชิงสถานะที่ตนเองได้เปรียบ) เพราะจากการเข้ามาของแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มาเชื่อมต่อและควบคุมคุณภาพบริการระหว่างผู้โดยสารและผู้ให้บริการแล้ว ผลประโยชน์ส่วนเกิน (Surplus) จากผลิตภาพที่เพิ่มขึ้นหรือคุณภาพที่เพิ่มขึ้น ก็จะถูกแบ่งสรรไปให้กับผู้ประกอบการผู้ครองนวัตกรรมดังกล่าวอยู่

กล่าวคือระบบที่ว่านี้ได้หักเอาผลประโยชน์บางส่วนจากผู้ให้บริการไปผ่านค่าคอมมิชชั่น ซึ่งก็เปรียบเสมือนการ ‘หักหัวคิว’ ของผู้ให้บริการ ซึ่งสำหรับกรณีของคนที่เช่ารถแท็กซี่จากอู่อีกทีหนึ่ง

 

เปรียบเสมือนว่าพวกเขาต้องถูก ‘หักหัวคิวซ้อน’ และทำให้ต้นทุนต่อรอบเพิ่มขึ้นไปมากกว่าเดิม

 

ทั้งหมดทั้งมวลเราจะเห็นได้ว่าการเข้ามาของเทคโนโลยีได้ทำให้ผู้บริโภคได้ประโยชน์อย่างชัดเจนจากตัวเลือกที่เพิ่มขึ้นและการแข่งขันในตลาดที่เข้มข้นขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ผู้ให้บริการแท็กซี่แบบดั้งเดิมก็ต้องเผชิญหน้ากับการสูญเสียผลประโยชน์ในสองแง่มุม — ในแง่หนึ่งคือการสูญเสียประโยชน์จากกฎกติกาเดิมของตลาด และในอีกแง่หนึ่งคือต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการให้บริการ

ทีนี้เมื่อกลับมาถึงคำว่า ‘ความอยุติธรรม’ จากการเข้ามาของ ‘เทคโนโลยี’ เหล่านี้ มันจะไม่ยุติธรรมในแง่ไหน ไม่ยุติธรรมเพราะพวกเขากำลังเสียสถานะที่ได้ประโยชน์เดิม หรือไม่ยุติธรรมที่ต้นทุนเพิ่มขึ้น เราอาจต้องมาหาคำนิยามกัน เพื่อที่จะนำไปสู่หนทางแก้ไขที่ตรงจุดที่สุด

เพราะจากมุมมองของผู้บริโภคนั้น เทคโนโลยีได้ทำให้บริการมีระดับคุณภาพที่เพิ่มมากขึ้นอีกทั้งยังมีความสะดวกสบายมากขึ้น ด้วยเหตุนั้น หากจะขจัดความอยุติธรรมให้ถอดถอนแพลตฟอร์มออนไลน์ออกไป อาจไม่ถูกจุดนัก เพราะจะทำให้ผู้บริโภคต้องกลับไปสู่สถานะเดิมที่ต้องยอมรับกับการถูกปฏิเสธหรือโก่งราคาแบบจำยอม 

แต่หากความอยุติธรรมคือการแบ่งสรรผลประโยชน์ในแบบที่ไม่เหมาะสม ก็คงเป็นอีกหนทางที่ต้องแก้ไขกันต่อไป

แต่อย่างน้อย ๆ ในปัจจุบันนี้ คำว่า “ส่งรถ” อาจจะมีผลตามมา เพราะผู้โดยสารอย่างเรา ๆ ก็อาจจะหารถคันอื่น หรือแม้แต่เลิกใช้บริการแท็กซี่แบบดั้งเดิมไปเลย หรือแม้แต่เจอกับข้อความอย่าง “ฝากกดยกเลิกหน่อยครับ” เราก็สามารถที่จะตอบกลับว่า “ไม่” ได้ โดยที่กลไกของระบบก็จะช่วยเราจัดหาความยุติธรรมให้กับผู้บริโภคเอง

การเปลี่ยนแปลงนับเป็นสิ่งที่แทรกซอนเข้าไปในทุกอนูของสรรพสิ่ง จัดระเบียบธรรมชาติและกลไกของสังคม กัดเซาะความเป็นไปในแบบเดิมที่ไม่ตอบความต้องการของผู้คน และแทนที่ด้วยสิ่งใหม่ที่ตอบโจทย์กว่า ในแง่หนึ่ง ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ชำระล้างความอยุติธรรมเดิม แต่ในขณะเดียวกันก็อาจมีความไม่ยุติธรรมใหม่คืบคลานขึ้นมา

แต่เมื่อใดที่กล่าวถึง ‘ความอยุติธรรม’ รากฐานที่สำคัญยิ่งคือการมองลึกลงไปว่าจากมุมมองของใคร 

เพราะในบางคราว สำหรับบางคน มันก็ไม่ยุติธรรมที่จะเติมเต็มผลประโยชน์องค์รวม หากความยุติธรรมที่ว่านั้น นำมาซึ่งการเจียดเอาผลประโยชน์ที่ตนเองถือครองอยู่ออกไป 

นวัตกรรมที่อาจนำมาซึ่งความยุติธรรมยิ่ง (สำหรับบางคน) ก็อาจอยุติธรรมยิ่ง (สำหรับบางคน)